วันที่ ๗ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: ปรีดา พร้อมพรรค์.เตรียมสอบ สังคม O-Net. กรุงเทพฯ.รุณีการพิมพ์.๒๕๕๗.หน้า ๗๘-๘๒
เรื่อง กฎหมายไทย
ลักษณะกฎหมายไทย
ลักษณะของกฎหมายแบ่งออกได้เป็น
๕ ประการ คือ
๑.กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ
ซึ่งจะแตกต่างกับการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามคำสั่งหรือข้อบังคับนั้นมีลักษณะให้เราต้องปฏิบัติตาม
แต่ถ้าเป็นการเชื้อเชิญหรือขอความร่วมมือ เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้
เช่นนี้เราก็จะไม่ถือเป็นกฎหมาย เช่น การรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่
หรือช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ
นอกจากดังกล่าวมาข้างต้น
อาจมีบางกรณีที่กฎหมายให้อำนาจเฉพาะแก่บุคคลในการออกกฎหมายไว้เช่น
พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยฝ่ายบริหาร(คณะรัฐมนตรี) ฯลฯ
๒.กฎหมายต้องมาจากรัฐาธิปัตย์หรือผู้ที่มีกฎหมายให้อำนาจไว้
รัฐาธิปัตย์คือผู้มีอำนาจสูงสุด
ของประเทศ
ในระบอบเผด็จการหรือระบอบการปกครองที่อำนาจการปกครองประเทศอยู่ในมือของ
บุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
มีอำนาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
พระบรมราชโองการหรือคำสั่งของ
พระมหากษัตริย์ก็ถือเป็นกฎหมาย
ส่วนในระบอบประชาธิปไตยของเรา ถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของ
ประชาชน
กฎหมายจึงต้องออกโดยประชาชน คำถามมีอยู่ว่าประชาชนออกกฎหมายได้อย่างไร ก็ออก
โดยที่ประชาชนเลือกตัวแทนเข้าไปทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย
ซึ่งก็คือสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)และ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)นั่นเอง
ดังนั้นการเลือก ส.ส. ในการเลือกทั่วไปนั้นนอกจากจะเป็นการ
เลือกคนเข้ามาบริหารประเทศแล้ว
ยังเป็นการเลือกตัวแทนของประชาชนเพื่อทำการออกกฎหมายด้วย
๓.ฎหมายต้องใช้บังคับได้โดยทั่วไป
คือเมื่อมีการประกาศใช้แล้ว บุคคลทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายโดยเสมอภาค
จะมีใครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้
หรือทำให้เสียประโยชน์หรือเอื้อประโยชน์ให้แก่บุคคลใดโดยเฉพาะเจาะจงไม่ได้
แต่อาจมีข้อยกเว้นในบางกรณี เช่น กรณีของฑูตต่างประเทศซึ่งเข้ามาประจำในประเทศไทยอาจได้รับการยกเว้นไม่
ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายภาษีอากร หรือหากได้กระทำความผิด
อาญา
ก็อาจได้รับเอกสิทธิ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศไม่ต้องถูกดำเนินคดีในประเทศไทย
โดยต้องให้
ประเทศซึ่งส่งฑูตนั้นมาประจำการดำเนินคดีแทน
ฯลฯ
๔..กฎหมายต้องใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีการประกาศใช้แล้วแม้กฎหมายนั้นจะไม่ได้ใช้มานาน
ก็ถือว่ากฎหมายนั้นยังมีผลใช้บังคับได้อยู่ตลอด
กฎหมายจะสิ้นผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิกกฎหมายนั้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเป็น
อย่างอื่นเท่านั้น
๕..กฎหมายจะต้องมีสภาพบังคับ ถามว่าอะไรคือสภาพบังคับ
นั่นก็คือการดำเนินการลงโทษหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ที่ฝ่าฝืน
กฎหมายเพื่อให้เกิดความเข็ดหลาบหรือหลาบจำ ไม่กล้ากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอีก
และรวมไปถึงการเยียวยาต่อความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายนั้นด้วย
ตามกฎหมายอาญา
สภาพบังคับก็คือการลงโทษตามกฎหมาย เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต
ซึ่งมุ่งหมายเพื่อจะลงโทษผู้กระทำความผิดให้เข็ดหลาบ แต่ตามกฎหมายแพ่งฯนั้น
สภาพบังคับจะมุ่งหมายไปที่การเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายเพื่อให้เกิดความเสีย หายน้อยที่สุด
เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคับให้กระทำการตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ฯลฯ
ซึ่งบางกรณีผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายก็อาจต้องต้องถูกบังคับทั้งทางอาญาและทาง
แพ่งฯในคราวเดียวกันก็ได้
แต่กฎหมายบางอย่างก็อาจไม่มีสภาพบังคับก็ได้ เนื่องจากไม่ได้มุ่งหมายให้ผู้คนต้องปฏิบัติตาม
แต่อาจบัญญัติขึ้นเพื่อรับรองสิทธิให้แก่บุคคล
หรือทำให้เสียสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น
กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วสามารถทำนิติกรรมได้เองโดยไม่ต้องได้
รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลที่มีอายุ ๑๕ ปีแล้วสามารถทำพินัยกรรมได้
ฯลฯ หรือออกมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ
ซึ่งกฎหมายประเภทนี้จะไม่มีโทษทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด
ความสำคัญของกฎหมายไทย
๑.
กฎหมายสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยแก่สังคมและประเทศชาติ เมื่อ ทุกคนรู้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องแล้วย่อมไม่เกิดปัญหา
และข้อพิพาทระหว่างกันสังคมยอมเป็นระเบียบและมีความสุขอันจะเป็นผลดีต่อประเทศสืบต่อไป
๒.
การบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ประเทศ ใดประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้การ
บริหารประเทศเป็นไปด้วยดี และมีส่วนทำให้มีการพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างเช่น เมื่อประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของตนที่มีต่อประเทศชาติก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างครบถ้วน
เช่นหน้าที่ในการป้องกันประเทศ
หน้าที่ในการเสียภาษี หน้าที่ในการเป็นทหารรับใช้ชาติ เป็นต้น
๓. สังคมจะสงบสุขเมื่อทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย และ รู้ว่าตนมีสิทธิของตนอยู่เพียงไร ไม่ไปล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น ถ้าทุกคนปฏิบัติตามขอบเขตของกฎหมาย ก็จะไม่การทะเลาะวิวาทกัน เช่นทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการพูด การเขียน แต่ต้องปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขต ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นเพราะอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้
๔. กฎหมายสร้างความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ เพราะ กฎหมายจะมีข้อบังคับแก่ทุกคน ดังนั้นไม่ว่า ใครก็ตามที่ประพฤติผิดกฎหมาย หรือถูกผู้อื่นเอาเปรียบ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะร่ำรวย ฐานะยากจน หรือเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงเพียงใดก็ตามไม่สามารถที่จะ หลีกเลี่ยงกฎหมายได้ ต้องรับโทษตามความผิด
๓. สังคมจะสงบสุขเมื่อทุกคนปฏิบัติตามกฎหมาย และ รู้ว่าตนมีสิทธิของตนอยู่เพียงไร ไม่ไปล่วงล้ำสิทธิของผู้อื่น ถ้าทุกคนปฏิบัติตามขอบเขตของกฎหมาย ก็จะไม่การทะเลาะวิวาทกัน เช่นทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการพูด การเขียน แต่ต้องปฏิบัติตนอยู่ในขอบเขต ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นเพราะอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้
๔. กฎหมายสร้างความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ เพราะ กฎหมายจะมีข้อบังคับแก่ทุกคน ดังนั้นไม่ว่า ใครก็ตามที่ประพฤติผิดกฎหมาย หรือถูกผู้อื่นเอาเปรียบ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะร่ำรวย ฐานะยากจน หรือเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูงเพียงใดก็ตามไม่สามารถที่จะ หลีกเลี่ยงกฎหมายได้ ต้องรับโทษตามความผิด
๕.
กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญ เพื่อก่อให้เกิดความยุติธรรมใน
กรณีที่เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น
มีการฟ้องร้องคดีกัน
เพื่อขอความยุติธรรมจากศาล
ศาลก็ต้องตัดสินโดยยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลักในการพิจารณาคดี เพื่อให้ทุกคนได้รับความยุติธรรมเท่าเทียมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น