วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์ (๒๓)

วันที่ ๑ เดือนกุมภาพันธ์  พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: พัชรา สุขภักดา.เตรียมสอบ โลกดาราศาสตร์ และอวกาศ. กรุงเทพฯ.เสริมสรรค์การพิมพ์.๒๕๕๗.หน้า ๙๑-๑๑๒

                                                          เรื่อง ปรากฏการณ์บนดวงอาทิตย์
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ มีหลายปรากฏการณ์ ดังนี้
๑. จุดบนดวงอาทิตย์
          จุดบนดวงอาทิตย์เป็นลักษณะที่น่าสังเกตที่สุดบนดวงอาทิตย์ บริเวณนี้จะปรากฏมืดเมื่อมองในแสงสีขาว เหตุที่มืดก็ เนื่องจากรังสีที่แผ่ออกจากบริเวณนี้น้อยกว่าบริเวณโฟโตสเฟียร์ที่อยู่รอบๆ ซึ่งหมายความว่า บริเวณนี้เย็นกว่าบริเวณอื่นบนตัวดวง  ถ้าสามารถเอาจุดบนดวงอาทิตย์ออกมาได้จากผิวดวงอาทิตย์ แล้วเอามาวางไว้ในอวกาศ จุดเหล่านี้จะปรากฏสว่างพอๆ กับดวงจันทร์ในขณะสว่างเต็มดวงทีเดียว
          จุดบนดวงอาทิตย์ประกอบด้วยองค์ประกอบ ส่วนคือ
          () เขตเงามืด (Umbra) เป็นบริเวณใจกลางจุดซึ่งมืดสนิท
          () เขตเงามัว (Penumbra) เป็นบริเวณที่ไม่มืดมากอยู่รอบๆ
          เขตเงามืดมีคามสว่างประมาณ / ของความสว่างในโฟโตสเฟียร์
          นอกจากนั้น ยังตรวจพบแสงสว่างวาบออกมาจากเขตเงามืดในบางครั้ง ทั้งนี้ คาดว่าเกิดขึ้นจากคลื่นที่แผ่ออกมา แล้วผ่านเขตเงามัวออกมา ผลการเคลื่อนที่ของสสารในกรณีนี้เรียกว่า “Evershed Effect”

๒. การลุกจ้า (Flares)
               การลุกจ้าบนดวงอาทิตย์มักจะเกิด ณ บริเวณรอบๆ จุดบนดวงอาทิตย์ โดยเป็นการระเบิดอย่างรุนแรง แล้วปล่อยอนุภาคและรังสีต่างๆ ออกมาอย่างมากมายออกสู่อวกาศ โดยปกติช่วงชีวิตของการลุกจ้าจะเฉลี่ยประมาณ ๒๐ นาที อุณหภูมิของการลุกจ้าอาจสูงถึง ๕ ล้านองศาเคลวิน
               อนุภาคที่เกิดจากการลุกจ้าอาจถูกส่งมาถึงโลกของเราได้ในเวลาเพียง ๒-๓ ช.ม. เท่านั้น และเป็นผลทําให้เกิดการรบกวนการส่งคลื่นวิทยุบนโลก นอกจากนั้น ยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า แสงเหนือ (Aurora Borealis) และแสงใต้ (Aurora Australis) ด้วย
               สามารถสังเกตเห็นการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ได้ เมื่อทําการถ่ายภาพโดยใช้แผ่นกรองแสงแบบ H และจากการศึกษาการลุกจ้า โดยหอทดลองลอยฟ้า พบว่ามีการปล่อยรังสีเอกซ์ (X-rays) และ คลื่นวิทยุที่ส่งออกมาจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่เกิดการลุกจ้า
               กลไกการเกิดการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ยังไม่ทราบแน่นอน แต่คาดว่าเกิดจากพลังงานจํานวนมหาศาลที่ถูกสนามแม่เหล็กบริเวณจุดบนดวงอาทิตย์กักเอาไว้ และด้วยกลไกอย่างหนึ่งไปกระตุ้นให้พลังงานจํานวนนั้นพลุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว คล้ายกับการใช้นิ้วบีบเมล็ดแตงโม

๓. ลมสุริยะและหลุมโคโรนา
               ลมสุริยะ (Solar Wind) เกิดจากการขยายตัวของโคโรนาออกสู่อวกาศการขยายตัวนี้ทําให้หางของดาวชี้ในทิศตรงกับดวงอาทิตย์เสมอ
               ข้อมูลจากยานอวกาศได้บันทึกความเร็วของโคโรนาที่ขยายออกมาได้ ประมาณ ๔๐๐ ก.ม./ วินาที ณ ระยะ A.U. คาดว่าลมสุริยะปกคลุมอาณาเขตไกลถึงดาวพลูโต อย่างไรก็ตาม ความหนาแน่นของอนุภาคจะลดลงเมื่อระยะทางไกลขึ้น
               ลมสุริยะประกอบด้วย ไอออนและอิเล็กตรอน ซึ่งพบว่าปริมาณเปรียบทียบ (Relative Composition) ของธาตุและไอออนในลมสุริยะจะคงที่เสมอแม้ ณ ระยะวงโคจรของโลกจากดวงอาทิตย์

               ผลที่ได้จากการสังเกตของหอทดลองลอยฟ้า พบว่า โคโรนาบางบริเวณมีลักษณะเย็นและเงียบสงบ ความหนาแน่นของก๊าซ ณ บริเวณนี้ต่ำกว่าบริเวณอื่นที่อยู่ใกล้เคียง นักดาราศาสตร์เชื่อว่า บริเวณนี้เป็นจุดกําเนิดของลมสุริยะและเรียกบริเวณนี้ว่า หลุมโคโรนา (Coronal Holes)"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น