วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (๒๒)

วันที่ ๒๒ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: เฉลิมชัย มอญสุขขำ.เตรียมสอบฟิสิกส์. กรุงเทพฯ.เดอะบุ๊คส์.๒๕๕๔.หน้า ๙๑-๑๑๕
                                                     เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า


คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทำให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากกัน และอยู่บนระนาบตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง จึงสามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศได้
สเปกตรัม ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่และความยาวคลื่นแตกต่างกัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ คลื่นแสงที่ตามองเห็น อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ ไมโครเวฟ รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา เป็นต้น
ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงมีประโยชน์มากในการสื่อสารและโทรคมนาคม และทางการแพทย์
สมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
๑. ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่
๒. อัตราเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดในสุญญากาศ เท่ากับ อัตราเร็วของแสง คือ ๒๙๙,๗๙๒,๔๕๘ m/s
๓. เป็นคลื่นตามขวาง
๔. ถ่ายเทพลังงานจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง
๕. ถูกปล่อยออกมาและถูกดูดกลืนได้โดยสสาร
๖. ไม่มีประจุไฟฟ้า
๗. คลื่นสามารถแทรกสอด สะท้อน หักเห และเลี้ยวเบนได้

                คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นคลื่นชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องใช้ตัวกลางในการเคลื่อนที่ เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ ปัจจุบันมีการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในหลายๆด้านเช่น การติดต่อสื่อสาร ( มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เรดาร์ ใยแก้วนำแสง)    ทางการแพทย์(รังสีเอกซ์)    การทำอาหาร(คลื่นไมโครเวฟ)    การควบคุมรีโมท (รังสีอินฟราเรด) คุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือเป็นคลื่นที่เกิดจากคลื่นไฟฟ้าและคลื่นแม่เหล็กตั้งฉากกันและเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเดินทางได้ด้วยความเร็ว ๒๙๙,๗๘๒,๔๕๘ m/s หรือเทียบเท่ากับความเร็วแสง
                คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic disturbance) โดยการทำให้สนามไฟฟ้าหรือสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กมีการเปลี่ยนแปลงก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากกัน และอยู่บนระนาบตั้งฉากกับทิศการเคลื่อนที่ของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นที่เคลื่อนที่โดยไม่อาศัยตัวกลาง จึงสามารถเคลื่อนที่ในสุญญากาศได้ สเปกตรัม (Spectrum) ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะประกอบด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่และความยาวคลื่นแตกต่างกัน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ คลื่นแสงที่ตามองเห็น อัลตราไวโอเลต อินฟราเรด คลื่นวิทยุ โทรทัศน์ ไมโครเวฟ รังสีเอกซ์ รังสีแกมมา เป็นต้น ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จึงมีประโยชน์มากในการสื่อสารและโทรคมนาคม และทางการแพทย์
สมบัติของคลื่นแม่
                ธรรมชาติของ แสง แสดงความประพฤติเป็นทั้ง คลื่น และ อนุภาค  เมื่อเรากล่าวถึงแสงในคุณสมบัติความเป็นคลื่น เราเรียกว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic waves) ซึ่งประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าทำมุมตั้งฉาก และเคลื่อนที่ไปในอวกาศด้วยความเร็ว ๓๐๐๐๐๐๐๐๐๐ เมตร/วินาที  เมื่อเรากล่าวถึงแสงในคุณสมบัติของอนุภาค เราเรียกว่า โฟตอน (Photon)  เป็นอนุภาคที่ไม่มีมวล แต่เป็นพลังงาน

ที่มาของศาสนา (๒๑)

วันที่ ๑๖ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: เอกรินทร์ สี่มหาศาล.สรุปสังคม ม.ปลาย.พิมพ์ครั้งที่ ๒.กรุงเทพฯ.เจริญวิทย์.๒๕๕๓.หน้า ๑-๙

เรื่อง ที่มาของศาสนา
     ศาสนา คือ คำสั่งสอนของศาสดาผู้ประกาศศาสนา ประกอบด้วยหลักธรรม คำสอน แนวความเชื่อ และแนวการปฏิบัติต่าง ๆ ตามคติของแต่ละศาสนา เพื่อให้ผู้ปฏิบัติตามเกิดความเจริญในชีวิต และให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
     ศาสนามีความสำคัญหลายอย่าง เช่น
     -เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ
     -เป็นเครื่องมือควบคุมสังคม ทำให้คนเราอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข
     -เป็นบ่อเกิดของจริยธรรม วัฒนธรรม และประเพณีต่าง ๆ






     ประโยชน์ของศาสนา
    ๑. ศาสนาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของคนเรา ถ้าคนเราปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา เช่น มีความซื่อสัตย์สุจริต อดทนอดกลั้น ขยันขันแข็ง ไม่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น มีความกตัญญูกตเวที ก็จะมีคนรักใคร่นับถือ มีความสุข ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตด้านต่าง ๆ
     ๒. ศาสนาช่วยสนองความต้องการด้านจิตใจของคนเรา คนทุกคนต้องการความหวังและกำลังใจที่จะมีชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งจะเห็นว่าทุกศาสนามีหลักปฏิบัติที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนได้อย่างชัดเจน

     ๓. ศาสนาช่วยให้สังคมสงบสุข ถ้าสมาชิกในสังคมนำหลักคำสอนทางศาสนามาประพฤติปฏิบัติตาม ก็จะทำให้เป็นคนดีทั้งกาย วาจา และใจ ไม่กระทำความชั่วมีความเมตตากรุณาต่อกัน เมื่อทุกคนปฏิบัติดังนี้ สังคมย่อมเกิดความสงบสุข

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

Phloem (๒๐)

วันที่ ๑๐ เดือนมกราคม    พุทธศักราช   ๒๕๕๙
 ที่มา : ภูวดล บุตรรัตน์โครงสร้างภายในของพืช. พิมพ์ครั้งที่ ๕.กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.๒๕๔๑. หน้า ๓๗-๔๘


                                                                                       เรื่อง Phloem



                Phloem หรือท่อลำเลียงอาหาร เป็นเนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อนเช่นเดียวกัน xylem      และอยู่ใกล้ๆกับ xylem จึงเรียกกันว่า เนื้อเยื่อลำเลียง (vascular tissue) หรือกลุ่มท่อลำเลียง (vascular bundle) phloem ประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิด ได้แก่
-          Sieve elements ประกอบด้วย sieve tube members และ companion cell พบในพืชมีดอก (angiosperm) ส่วนพืชพวกจิมโนสเปิร์มจะมีเฉพาะ sieve cell
-          Sclerenchyma ได้แก่ fiber และ sclereid โดยเฉพา fiber ที่อยู่ใน phloem มีความแข็งแรงมาก เช่น ในลำต้นพวกปอกระเจา ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
-          Parenchyma มีทั้ง parenchyma ที่พบได้ทั่วไปในส่วนต่างๆ ของพืช และ parenchyma ที่ลำเลียงอาหารออกด้านข้าง เรียกว่า phloem ray เรียงเป็นแถวต่อมาจาก xylem ray

เนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ลำเลียงโดยตรง คือ sieve elements มีลักษณะเป็นท่อยาว ผนังเซลล์เป็น primary wall บริเวณที่ผนังเซลล์เดิมเป็นรูของ pit จะเปลี่ยนแปลงเป็นแผ่นบางๆ มีพรุนเล็กๆ คล้ายแผ่นตะแกรงจำนวนมากเรียกว่า sieve area ถ้าเป็น sieve tube members ทางด้านปลายเซลล์จะมีแผ่นป้ายเฉียงเรียก sieve plate หรือ perforation plate คล้ายกับใน vessel บน sieve element ที่มีอายุมากจะมี callose ซึ่งเป็นพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแท่งหรือเป็นแผ่น คลุม sieve area ไว้ด้านข้างของ sieve tube members มีเซลล์ผนังบางคล้าย parenchyma แต่ขนาดเล็กกว่าแนบอยู่ข้างๆ เรียกว่า sieve tube members ตรงที่ sieve cell ไม่มี sieve plate ไม่มี companion cell แต่มี parenchyma ที่อยู่ข้างๆทำหน้าที่แทนเรียกว่า albuminous cell

ชนิดของข้าวโพด (๑๙)

วันที่ ๑๐ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: สุทัศน์ ศรีวัฒนพงษ์.สารานุกรมเยาวชนไทย เล่ม ๑๖. กรุงเทพฯ.ด่านสุทธาการ.๒๕๕๓.หน้า ๑๐๒-๑๑๐

เรื่อง ชนิดของข้าวโพด
ข้าวโพดมีหลากหลายชนิดพันธุ์ จำแนกได้ทั้งด้านพฤกษศาสตร์ และด้านการใช้ประโยชน์
การจำแนกด้านพฤกษศาสตร์ ถือตามลักษณะของแป้งและเปลือกหุ้มเมล็ดเป็นหลัก จำแนกได้ ๗ ชนิด
๑.ข้าวโพดหัวบุบ เมล็ดตอนบนมีรอยบุ๋ม เนื่องจากด้านบนมีแป้งอ่อน ส่วนด้านข้างเป็นแป้งชนิดแข็ง นิยมปลูกมากในสหรัฐอเมริกา


๒.ข้าวโพดหัวแข็ง เมล็ดมีแป้งแข็งห่อหุ้มโดยรอบ หัวเรียบไม่บุบไม่ยุบไม่หดลงไป  เมล็ดค่อนข้างกลม นิยมปลูกมากในทวีปเอเชียและทวีปอเมริกา


๓.ข้าวโพดหวาน นิยมปลูกกันแพร่หลายเพื่อรับประทานฝักสด มีรสหวานเพราะมีน้ำตาลมาก


๔.ข้าวโพดคั่ว เมล็ดมีขนาดค่อนข้างเล็ก มีแป้งชนิดแข็งอยู่ภายใน ภายนอกห่อหุ้มด้วยเยื่อที่เหนียวและยืดตัวได้

๕.ข้าวโพดข้าวเหนียว เมล็ดมีแป้งชนิดอ่อนคล้ายแป้งมันสำปะหลังอยู่ภายใน นิยมปลูกรับประทานเพื่อรับประทานฝักสด คล้ายข้าวโพดหวาน

๖.ข้าวโพดแป้ง เมล็ดประกอบด้วยแป้งชนิดอ่อนมาก เมล็ดค่อนข้างกลม หัวไม่บุบ หรือบุบเล็กน้อย


๗.ข้าวโพดป่า ลักษณะใกล้เคียงกับข้าวโพดพันธุ์ป่า มีลำต้นเล็ก ฝักเล็กกว่าข้าวโพดธรรมดา
ข้าวโพดชนิดนี้ปลูกไว้เพื่อการศึกษา


การจำแนกตามการใช้ประโยชน์ แบ่งได้ ๕ ชนิด
๑.ข้าวโพดใช้เมล็ด ปลูกเพื่อเก็บเมล็ดแก่มาใช้เป็นอาหารสัตว์ อาหารมนุษย์และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม
๒.ข้าวโพดฝัก ปลูกเพื่อตัดต้นสดมาหมักใช้เป็นอาหารสัตว์
๓.ข้าวโพดสด ใช้เป็นอาหารสัตว์
๔.ข้าวโพดฝักอ่อน ปลูกเพื่อเก็บฝักอ่อนไปใช้ในการปรุงอาหาร

๕.ข้าวโพดคุณภาพโปรตีนสูง เป็นข้าวโพดไร่ มีคุณภาพโปรตีนสูงเป็นสองเท่าของข้าวโพดธรรมดา มีประโยชน์ใช้เลี้ยงสัตว์กระเพาะเดี่ยว เช่น สุก

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

สุนัขจิ้งจอก (๑๘)

วันที่ ๔ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: น.สพ.อลงกรณ์ มหรรณพ.สารานุกรม สัตว์ป่า.พิมพ์ครั้งที่๒.กรุงเทพฯ.เอม ซัพพลาย.๒๕๔๔.หน้า๒๗-๓๕
เรื่อง สุนัขจิ้งจอก



             สุนัขจิ้งจอกมีชื่อสามัญว่า ASIATIC JACKAL มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Canis aureus มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศไทย แอฟริกา อินเดีย พม่า ในไทยพบมากในภาคเหนือและตะวันตก
              สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์กินเนื้อขนาดกลาง ลักษณะคล้ายสุนัขบ้าน ขนสีเทาแกมดำและน้ำตาลแซมขาว ขนมีลักษณะยาวหยาบปากยาว ขนบริเวณไหล่ยาวแผ่ออกคล้ายอานม้า ใบหูใหญ่ หางสั้นเป็นพวง ขาหน้ามี ๕ นิ้ว ขาหลังมี ๔ นิ้ว เล็บโผล่ออกมาจากอุ้งตีน มีเต้านม ๘-๑๐ เต้า ขนาดลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๐-๗๕ เซนติเมตร หางยาว ๒๐-๒๕ เซนติเมตร น้ำหนักตัว ๘-๑๐ กิโลกรัม
               สุนัขจิ้งจอกชอบออกหากินในเวลากลางคืน กลางวันมักหลับนอนในโพรงดิน โพรงไม้ หรือถ้ำ ชอบออกล่าสัตว์เป็นฝูงๆ ฝูงหมาจิ้งจอกฝูงหนึ่งมีจำนวน ๕-๑๐ตัว โดยทั่วไปมักจะอยู่ตัวเดียวหรือคู่ เวลาเยี่ยวชอบเอาลำตัวเกลือกกับเยี่ยวไปทั่วตัว ทำให้ตัวมีกลิ่นเหม็นจัด เป็นสัตว์ที่มีความอดทนค่อนข้างสูง
              สุนัขจิ้งจอกกินสัตว์เล็ก เช่นกบ เขียด อ้น หนู กระรอก ไก่ป่า เก้ง เนื้อทราย ผลไม้ เมื่อโตเต็มวัยพร้อมผสมพันธุ์ เมื่ออายุประมาณ ๖๐ วัน ตกลูกครั้งละ ๔-๕ ตัว อายุยืนประมาณ ๑๐ ปี



ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันดิบ (๑๗)

วันที่ ๔ เดือน มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙
ที่มา: ปัทมา ทองสม.สรุปเคมี.พิมพ์ครั้งที่๒.กรุงเทพฯ.แพนสยามการพิมพ์.๒๕๕๓.หน้า๒๕-๓๐
                               เรื่อง ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันดิบ




   









ผลิตภัณฑ์จากการกลั่นน้ำมันดิบส่วนใหญ่มีสีดำหรือสีน้ำตาล มีสมบัติแตกต่างกันตามแหล่งที่พบ ประกอบด้วยคาร์บอน ร้อยละ ๘๔-๙๐ ไฮโดรเจน ร้อยละ ๑๐-๑๕ กำมะถัน ร้อยละ ๐.๐๐๑-๗ และออกซิเจน ร้อยละ ๐.๐๐๑-๕  นอกนั้นเป็นไนโตรเจนและโลหะอื่นๆ
การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เรียกว่า การกลั่นลำดับส่วน มีหลักการทั่วไปดังนี้
๑.ให้ความร้อนแก่น้ำมันดิบ จนมีอุณหภูมิสูงประมาณ ๓๓๕๐-๔๐๐°C
๒.ฉีดน้ำมันดิบดข้าทางด้านล่างของหอกลั่น
๓.สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่างๆ จะระเหยลอยขึ้นด้านบนและกลั่นตัวเป็นของเหลวในแต่ละช่วงของหอกลั่น ได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ดังนี้
 -ด้านบนสุดของหอกลั่น  จะได้สารที่มีสถานะเป็นแก๊สออกมา ซึ่งมีจุดเดือดต่ำ และมีปริมาณคาร์บอนน้อย เรียงตามลำดับ คือแก๊ส มีเทน แก๊สอีเทน แก๊สโพรเพน แก๊สบิวเทน
-ตรงกลางขอหอกลั่น จะได้สารที่มีสถานะเป็นของเหลว เรียงตามลำดับ คือน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล น้ำมันหล่อลื่น น้ำมันเตา
-ด้านล่างของหอกลั่น จะได้สารที่มีสถานะเป็นของเแข็ง ซึ่งมีจุดเดือดสูง และมีปริมาณคาร์บอนมาก เรียงตามลำดับ คือ ไข ยางมะตอย