วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ (๖)

วันที่ ๓๐  เดือนพฤศจิกายน    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
ที่มา : ศุภณัฐ ไพโรหกุล, Essential Biology. พิมพ์ครั้งที่ ๗ กรุงเทพฯ : ธนาเพรส. ๒๔๕๕. หน้า ๘๑-๘๖

เรื่อง ระบบทางเดินหายใจของมนุษย์
การแลกเปลี่ยนก๊าซ (gas exchange) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการนำก๊าซออกซิเจนเข้ามาใช้ในกระบวนการหายใจระดับเซลล์ ขณะเดียวกันกันก็เป็นกระบวนการที่ใช้ในการขับก๊าซคาร์บนไดออกไซด์ออกนอกเซลล์ โดยการแลกเปลี่ยนก๊าซจะเกิดขึ้นผ่านพื้นผิวที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ซึ่งมีลักษณะดังนี้
๑.มีลักษณะบาง
๒.มีความชุ่มชื้นสูง
๓.พื้นที่ผิวสูงมาก
๔.มีหลอดเลือดฝอยมาก
โครงสร้างของระบบทางเดินหายใจของมนุษย์สามารถสรุปได้ดังนี้
อวัยวะ
หน้าที่
โพรงจมูก (nasal cavity)
เป็นบริเวณแรกที่อากาศเข้าสู่ภายในร่างกายมนุษย์ มีการสร้างเมือกเพื่อช่วยในการดักจับสิ่งแปลกปลอม
คอหอย (pharynx)
ควบคุมการกลืนอาหารและการหายใจไม่ให้เกิดขึ้นพร้อมกัน
หลอดลม (trachea)
ค้ำจุนและให้ความแข็งแรงกับหลอดลม ไม่ให้หลอดลมแฟบ
ขั้วปอด (bornch)
นำอากาศเข้าสู่ปอด
ถุงลม (alveolus)
ภายในมีหลอดเลือดฝอยจำนวนมากเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซ
ปอด (lungs)
แลกเปลี่ยนก๊าซ


ระบบภูมิคุ้มกัน (๕)

วันที่ ๓๐  เดือนพฤศจิกายน    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
ที่มา : ศุภณัฐ ไพโรหกุล, Essential Biology. พิมพ์ครั้งที่ ๗ กรุงเทพฯ : ธนาเพรส. ๒๔๕๕. หน้า ๗๗-๘๐

เรื่อง ระบบภูมิคุ้มกัน
กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมในมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มหลักคือ
                ๑.กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพาะเจาะจง มี ๒ ด่านย่อย คือ
                                ๑.๑ กลไกการป้องกันด่านแรก –ป้องกันสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่เนื้อเยื่อ
                                ๑.๒ กลไกการป้องกันด่านสอง –กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่เนื้อเยื่อแล้ว
ตารางสรุปกลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพาะเจาะจง
กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
บทบาทและการทำงาน
ผิวหนัง
ป้องกันการรุกรานของสิ่งแปลกปลอม
กรดในกระเพราะอาหาร
ป้องกันและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามากับอาหาร
เมือก
ป้องกันและดักจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามากับระบบทางเดินหายใจ
ขนจมูก
โบกพัดและดักจับสิ่งแปลกปลอมขนาดใหญ่ในบริเวณโพรงจมูก
น้ำตาและน้ำลาย
สารคัดหลั่งเล่านี้มีเอนไซม์ lysozyme ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
กรดในช่องคลอด
ยับยั้งการเจริญของ fungi และแบคทีเรียที่ช่องคลอดเพศหญิง
การไอจาม
การกำจัดเชื้อโรคออกจากระบบทางเดินหายใจส่วนบน

ตารางสรุปกลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพราะเจาะจงด่านสอง
กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอม
บทบาทและการทำงาน
อาการไข้
ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรค
การอักเสบ
ยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค และกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกาย
Natural killer cell
กำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสหรือเซลล์มะเร็งในร่างกาย
Antimicrobial protein
      -Interferon
      -Complement protein

หลั่งออกมาจากเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส ป้องกันการรุกรานไปยังเซลล์อื่นที่เป็นปกติ
ย่อยสลายเชื้อโรคขนาดเล็ก


๒.กลไกการต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะเจาะจง มี ๒ แบบคือ
                         ๑.การกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยใช้เซลล์เป็นตัวกลาง

                          ๒.การกำจัดสิ่งแปลกปลอมโดยการหลั่งแอนติบอดี

สารชีวโมเลกุล (๔)

วันที่ ๓๐  เดือนพฤศจิกายน    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
ที่มา : สุทธิพร พงษ์รัตนกุลเคมี รายวิชาพื้นฐาน. พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ : เจริญดีมั่นคงการพิมพ์. ๒๔๕๑. หน้า ๘๗-๑๐๙

เรื่อง สารชีวโมเลกุล
                อาหาร คือ สิ่งที่รับประทานเข้าไปแล้วร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่มีโทษต่อร่างกาย
                สารอาหาร คือ หน่วยย่อยที่เป็นองค์ประกอบของอาหารที่ร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้ และเป็นแหล่งให้พลังงานแก่สิ่งมีชีวิตเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ มี ๖ ประเภท คือ
                ๑.คาร์โบไฮเดรต
                ๒.โปรตีน                                           
                ๓.ไขมัน
               ๔.วิตามิน
                ๕.เกลือแร่
                ๖.น้ำ
                สารชีวโมเลกุล เป็นสารอินทรีย์ที่โมเลกุลมีขนาดใหญ่ พบในสิ่งมีชีวิตทั่วๆไป นำไปใช้ในกระบวนการดำรงชีวิต จำแนกได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน และกรดนิวคลีอิก ซึ่งประกอบด้วยธาตุองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน
                ส่วนกรดนิวคลีอิก จะมีธาตุไนโตรเจนและกำมะถัน เป็นองค์ประกอบหลักเพิ่มเติม

บทบาทของสารชีวโมเลกุล

ให้พลังงานเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น และเพื่อใช้ในการทำงาน

การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม

เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกัน

ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น สุขภาพผมและเล็บดี

สร้างเซลล์เนื้อเยื่อเพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมอวัยวะที่สึก

เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสมดุลของน้ำ และกรด-เบส



วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์ต่างๆ (๓)

วันที่ ๒๔ เดือน พฤศิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘

ที่มา  ศุภณัฐ ไพโรหกุล, Essential Biology. พิมพ์ครั้งที่ ๗ กรุงเทพฯ : ธนาเพรส. ๒๕๕๗. หน้า ๖๙-๗๖

 เรื่อง ระบบหมุนเวียนเลือดในสัตว์ต่างๆ
รูปแบบการหมุนเวียนเลือดในสัตว์กลุ่มต่างๆมีดังนี้
๑.สัตว์ที่ไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด ใช้การแพร่ของน้ำหรือสารต่างผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรง
๒.สัตว์ที่มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด(open circulatory system)
๓.สัตว์ที่มีระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด(close circulatory system)

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่าง ของระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดและระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด
ข้อเปรียบเทียบ
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิด
ระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด
การไหลเวียนเลือดในหลอดเลือด
ไม่ได้ไหลเวียนเลือดตลอดเวลา
ไหลเวียนเลือดตลอดเวลา
หลอดเลือดฝอย
ไม่มี
มี
แอ่งเลือด
มี
ไม่มี
ความแตกต่างของเลือดกับของเหลวระหว่างเซลล์
ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เรียกของเหลวรวมว่า hemolymph
แยกออกจากกันชัดเจน
การควบคุมความดัน
ไม่ดี
ดี
การควบคุมปริมาณเลือดในแตะละบริเวณ/อวัยวะในร่างกาย
ไม่ดี
ดี
สัตว์ที่พบ
สัตว์ขาข้อ มอลลัสก์ (ยกเว้นหมึก)
หมึก ไส้เดือนดิน สัตว์มีกระดูกสันหลัง

ประโยชน์ ทราบถึงความแตกต่างของระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดและระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โลกของโอปปาติกะ (๒)

วันที่ ๑๙   เดือนพฤศจิกายน    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
ที่มา : ดร.บรรจบ บรรณบุธ, โอปปาติกะ ชีวิตหลังความตาย.
           พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพฯ : อมรินทร์ธรรมะ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง. ๒๔๔๗. หน้า ๕-๑๓

                                                            เรื่อง โลกของโอปปาติกะ

                โอปปาติกะ คือ ชีวิตหลังความตายของสัตว์โลกที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยแต่อดีตกรรมเพียงอย่างเดียว เกิดจากใจของตัวเองที่ยังอยากมีชีวิตอยู่ แต่การเกิดใหม่เป็นไปอย่างรวดเร็วแบบผุดโผล่ขึ้น เกิดแล้วแต่ตัวตนสมบูรณ์ มีอวัยวะครบถ้วนเหมือนตอนก่อนตาย  โดยที่มีร่างกายประกอบด้วยอวัยวะต่างๆรับรู้และเคลื่อนไหวไปตามที่จิตหรือวิญญาณสั่งเหมือนเมื่อตอนเป็นมนุษย์ แต่อยู่ในสภาพกายทิพย์ อาจเป็นเทวดา มนุษย์บางจำพวก สัตว์นรก เปรตบางจำพวก และอสูรกาย โอปปาติกะจึงมีทั้งในสุคติภูมิและทุคติภูมิ และได้รับผลกรรมสมควรแก่ซึ่งได้ทำมา

               คนเรามักเข้าใจกันผิดว่า ผีหรือเทวดา เป็นคนละจำพวกกัน แท้จริงแล้วทั้งสองนั้นเป็นโอปปาติกะเหมือนกัน    โอปปาติกะนั้นอยู่ในสภาพกายทิพย์ เป็นเทวดาบ้าง สัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสูรกายบ้าง แต่เรามักเรียก ๓ ประเภทหลังว่า ผี ซึ่งแต่เดิมผีนี้ใช้เรียกเทวดา แต่ปัจจุบันคำนี้ถูกมองในทางลบ เช่นใช้เรียกศพคนตาย แต่เมื่อพิจารณาโดยรวม เราน่าจะเรียกโอปปาติกะทั้งหมดว่า เทวดา (ผู้มีกายทิพย์) มากกว่าเพราะโอปปาติกะทั้งหมด ก็ล้วนแต่มีกายทิพย์ แต่คำว่าเทวดาถูกจำกัดให้ใช้เรียกเฉพาะโอปปาติกะชาวสวรรค์เท่านั้น
ประโยชน์ รู้ว่าโอปปาติกะ คือชีวิตหลังความตายที่เราต้องเจอไม่ช้าก็เร็ว


บทพิสูจน์ของความเป็นคนอยู่ที่อดทนและไม่ยอมแพ้ (๑)


วันที่ ๑๙   เดือนพฤศจิกายน    พุทธศักราช   ๒๕๕๘
ที่มา : ไพศาล ถนอมอารมณ์, อาหารสมอง.
             พิมพ์ครั้งที่ ๑ กรุงเทพฯ : คิดดี. ๒๔๔๓. หน้า ๑๓-๒๕

                                                เรื่อง บทพิสูจน์ของความเป็นคนอยู่ที่อดทนและไม่ยอมแพ้

                เราทุกคนต่างมีความหวังทั้งสิ้น ไม่ว่าจะความหวังว่าจะได้การงานที่ดี มีความก้าวหน้า คาดหวังที่จะมั่งคั่ง มีฐานะการเงินที่ดี มีเกียรติ มียศ มีศักดิ์ศรี แต่ทุกอย่างใช่จะเป็นไปตามอย่างที่คาดหวังทั้งหมด เมื่อไม่เป็นตามที่คาดหวัง เราเรียกว่า “ความผิดหวัง” ซึ่งความผิดหวังนั้นสอนบทเรียนแห่งการอดทนและไม่ยอมแพ้ให้มนุษย์มานับไม่ถ้วน ความอดทนและไม่ยอมแพ้ของคนคือ ปุ๋ยชั้นดีของความสำเร็จ ยิ่งผิดหวังบ่อย ก็จะยิ่งได้บทเรียนและประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ฉะนั้น จงมีความหวังต่อไป แม้ว่าท้ายที่สุดจะไม่เป็นตามที่หวัง เพราะนั่นทำให้เรารู้จักคำว่า “อดทน” และการไม่ยอมแพ้ ถ้าไม่ยอมแพ้ซะอย่าง อะไรก็มาทำร้ายเราไม่ได้
              ในขณะเดียวกัน ความสมหวังในสิ่งต่างๆ ก็ได้สอนให้เราเห็นถึงคุณค่าของกำลังใจที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต  คนบางคนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่นั้น ต้องต่อสู้ ฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เบื้องหน้าที่มีรอยยิ้มบนความสำเร็จ เบื้องหลังของเขาอาจเต็มไปด้วยคราบน้ำตา แต่ทว่าพวกเขาไม่ยอมแพ้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองนอนล้มไปกับคำว่า แพ้ โดยไม่ลุกขึ้น
 ประโยชน์    หากเรารู้จักอดทน ไม่ยอมแพ้ เราจะประสบความสำเร็จ